ค น ห ล ง ท า ง

จากพื้นดิน สู่ยอดเขา…เดินตามรอยเท้าพ่อ สู่เส้นทางสายหมอก ณ ป่าสนวัดจันทร์

  •  

จากพื้นดิน สู่ยอดเขา…เดินตามรอยเท้าพ่อ 
สู่เส้นทางสายหมอก ณ ป่าสนวัดจันทร์

การเดินทางของผมครั้งนี้ เป็นการเดินทางไปในช่วงเดือนธันวาคม ที่ผมเลือกเดินทางไปช่วงนี้ เพราะจะได้ไปให้ถูกฤดูกาลกับการไปท่องเที่ยวภาคเหนืออย่างแท้จริง นึกถึงเชียงใหม่ทีไร ความเย็นสบายของอากาศคือสิ่งแรกที่ผมจะจินตนาการถึง

ผมออกเดินทางถึงเชียงใหม่ช่วงเช้าๆ มาถึงก็รีบไปยังร้านเช่ารถกันเลยครับชื่อร้าน Bikky Chiangmai เป็นร้านที่ผมติดต่อจองรถไว้ล่วงหน้า เพราะมาช่วงนี้ใกล้หยุดยาว กลัวมาเอาหน้างานแล้วไม่มีรถ แถมเลือกได้ด้วยว่าอยากได้รถอะไร ซึ่งรุ่นที่ผมจองไว้ก็คือ Suzuki GD110i เจ้ารถสีแดงสุดหล่อที่จะเป็นพระเอกของทริปนี้ ผมนี่เรียกมัน ไอ้แดงลูกพ่อเลย นะครับ 55555+ ค่าเช่าก็ไม่แพงครับ วันละ 300 รถใหม่สวยงามเชียว

ตอนจะรับรถ น้องที่ร้านก็บอกว่า ‘ รถใหม่เลยนะ ฝากดูแลหน่อย’ แนะ…พูดแบบนี้ ผมงี้ไม่รู้จะบอกไงว่า มันจะเจอศึกหนักจากผมนี่แหละ 55555+ ด้วยความที่รถคันนี้มันแค่ 110cc ก่อนจะซิ่งออกมาน้องที่ร้านก็ทักว่า ‘พี่ขี่ขึ้นเขาด้วยรึป่าวครับ’ ผมตอบเลยว่า ‘ขึ้นครับ ขึ้นเขาด้วย’ น้องที่ร้านรีบเตือนด้วยความหวังดีเลยว่า ถ้าพี่ขึ้นเขาด้วยผมกลัวว่ามันจะไม่ไหวน่ะสิ ไม่น่าจะขึ้นได้นะ แต่ผมก็เอาน่าาาา ก็คิดแต่ว่าสู้ตายแล้วกันนนนนนน

—————
นานแค่ไหนแล้วที่เราเห็นภาพพ่อของเรา เดินทางไปทั่วทุกสารทิศของประเทศไทย ทำงานหนักมากมายอย่างไม่เคยหยุดหย่อน นับตั้งแต่วันที่ 13 ตุลาคมที่ผ่านมา ในตอนนี้พ่อได้พักจากการทำงานทั้งปวงลงแล้ว แต่สิ่งที่เรายังคงเห็นอยู่คือโครงการหลวงมากมายทั่วทั้งแผ่นดินไทย ที่ยังคงขับเคลื่อนและพัฒนาต่อไป…

ในวันนี้ผมได้มีโอกาสออกเดินทางเพื่อ ตามรอยพ่อหลวง ซึ่งเป็นโครงการดีๆ ที่ทาง #ReadmeTH ร่วมกับ #JetradarTH จัดขึ้น ทำให้ผมได้เข้าถึงหัวใจของความเป็นคนไทยเข้าไปอีกหนึ่งก้าว ซึ่งเป็นเพียงก้าวเล็กๆเท่านั้น หากเทียบกับพ่อหลวงของเรา เพราะทุกๆก้าวที่ท่านย่างเท้าเข้าไป ล้วนเเล้วเเต่เป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่เพื่อชาวไทยทุกคน

‘โครงการหลวงวัดจันทร์’ หรือที่คนส่วนใหญ่ รู้จักกันในนามของ #ป่าสนวัดจันทร์ อยู่ที่ อ.กัลยานิวัฒนา จ.เชียงใหม่ เป็นโครงการที่เกิดขึ้นจากพระราชดำริ สู่การพัฒนาชีวิตราษฎร ท่ามกลางป่าเขาอันกว้างใหญ่ ใจกลางธรรมชาติและสายหมอก ผมบอกได้เลยว่าถ้าใครเคยไป ปางอุ๋ง แล้วชอบบรรยากาศแบบนั้น ผมเชื่อว่าคุณจะต้องหลงรักที่นี่อย่างแน่นอน

และแล้วการเดินทางตามรอยพ่อของ ค น ห ล ง ท า ง ก็เริ่มต้นขึ้น…

#LostInWatchan2016

—————
ติดต่อจองที่พัก บ้านห้วยฮ่อม อ.กัลยานิวัฒนา : พี่เช 080 859 2978

ค่าที่พักคนละ 150 บาท 
อาหารเย็น 1 มื้อ เพิ่ม 70 บาท

**ก่อนเดินทางแนะนำให้สอบถามค่าใช้จ่ายในส่วนต่างๆ ที่เราต้องการตกลงกันไว้ล่วงหน้านะครับ เช่น ราคานำเที่ยว หรืออื่นๆนอกเหนือจากโฮมสเตย์และอาหาร**

จุดมุ่งหมายในการเดินทางของผม อยู่ที่ อ.กัลยานิวัฒนา ได้ยินชื่ออำเภอแล้วคุ้นๆกันมั้ยครับผม ใช่แล้วววว…นี่เป็นชื่ออำเภอพระราชทานจากพระพี่นางฯนั้นเอง เดิมทีเป็นเขตของแม่เเจ่มที่แยกตัวออกมา ซึ่งจริงๆการเดินทางจะไปได้ทั้งหมด 2 เส้นทางนะครับ เพื่อไปยังบ้านวัดจันทร์ ทางแรก คือไปทางแม่มาลัย ซึ่งสะดวก และวิ่งง่ายมากๆ แต่ระยะทางค่อนข้างจะไกลจากบ้านวัดจันทร์กว่าทางที่สอง เพราะต้องขับย้อนเข้ามาอีกเกือบ 50-60 กิโล

ส่วนทางที่สอง คือทางสะเมิง ถ้าพูดถึงสะเมิง หืมมมม…ขึ้นชื่อลือชาเรื่องความทรหดของเส้นทางมาก 55555+ เมื่อประมาณปีที่แล้วผมเดินทางมาที่ปางอุ๋งแล้วดันเลือกผ่านทางนั้น คือแบบ โอ๊ยยยย…น้ำตาจะไหลริน สงสารรถยนต์มากกกก

ตอนแรก… ผมลังเลมากครับ ว่าจะไปทางไหนดี ระหว่างทางไป ดันเจอป้ายเขียนชี้ว่า ไปอ.กัลยานิวัฒนา ผมก็เลี้ยวไปทางนั้นเลยครับ แต่ก็ยังชั่งใจอยู่ว่า เห้ย! นี่มันทางสะเมิง หรือแม่มาลัย ก็จอดแวะถามชาวบ้านว่า

‘ทางนี้ไป อ.กัลยานิวัฒนา ได้มั้ยครับ ?’

ชาวบ้านก็ตอบกลับมาว่า : ตรงไปเลยยยย ตรงไปเรื่อยๆ เเล้วมันจะเข้าสะเมิง เข้าแม่เเจ่ม แล้วถึงบ้านวัดจันทร์เลย

ผมเลยถามกลับไปว่า : ทางสะเมิงนี่ ตอนนี้โอเคใช่มั้ยครับ มอเตอร์ไซค์ผมไปได้มั้ยครับ ?

ชาวบ้าน : ไปได้ๆๆๆ ทางดีแล้วตอนนี้ วิ่งเรื่อยๆไปได้เลย

ได้ยินแบบนี้ ผมก็เบาใจในระดับนึงแล้วครับว่าทางตอนนี้มันดีขึ้นมากแล้ว ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ผมต้องเดินหน้าต่อไป ถือคติไม่เคยเลี้ยวรถกลับครับผมมมม 5555+ ว่าแล้วผมก็ขี่ไปเรื่อยๆๆๆ ดูวิวสองข้างทางแวะถ่ายรูปเล่นไปตลอดทาง อากาศเย็นๆ ขี่รถตากแดดนี่ ไม่มีคำว่าร้อนเลยทีเดียว

จำเลขหน้าไมล์นี้ไว้ครับ เริ่มต้นที่ 382 (แต่จริงๆขี่ออกมาจากร้านเช่ารถแล้วประมาณสิบกว่าโลได้) จบทริปจะได้รู้กันว่าขี่ไปทั้งหมดกี่กิโล แต่บอกได้เลยว่า หนักแน่นอน ไอ้แดงลูกพ่ออออ

ขับรถมาเรื่อยๆ จนถึงจุดชมวิวสะเมิง ก็แวะกันหน่อยครับ เห็นวิวทิวเขาด้านล่างไกลสุดตา

สังเกตุได้เลยครับว่าเส้นทางนี้ ไปได้หมดทั้ง บ้านวัดจันทร์, ปาย, แม่ฮ่องสอน วิ่งทางเดียวกันได้หมดเลย ถ้าเป็นอดีตผมอาจจะไม่แนะนำการมาทางสะเมิงสักเท่าไหร่ คงจะแนะนำแม่มาลัยมากกว่าแน่นอน แต่ตอนนี้ชาวบ้านบอกว่าทางดีแล้ว ก็ต้องลองมาพิสูจน์ทางใหม่กันสักหน่อย

ระหว่างทางไป ผมก็ผ่าน วัดสะเมิง เลยแวะเข้าไปไหว้พระกันหน่อยครับ การเดินทางจะได้ราบรื่นปลอดภัย ตามมาชมบรรยากาศข้างในกันครับ…

ไหว้พระเสร็จแล้ว เราก็ออกเดินทางกันต่อเลยครับ จากตัวเมืองมาจนถึงตอนนี้ ผมก็วิ่งมาได้เกือบ 70-80 กิโลได้แล้ว ตลอดทางที่ขี่มา แทบจะทั้งเส้นทางเลยครับ คือป่าๆเขาๆทั้งนั้น ขับรถวนข้ามเขาลูกแล้วลูกเล่า วนไปตามไหล่เขาเรื่อยๆๆๆ นานๆทีจะเจอเขตชุมชน ซึ่งจะเป็นแค่ระยะทางสั้นๆเท่านั้น หลังจากขี่มายาวนานน้ำมันถังแรกที่ผมเติมมามันก็หร่อยหรอเต็มทน หลังจากเจอตู้น้ำมันแบบหยอดเงินแล้วก็แวะเติมกันสักหน่อยครับผม

เติมน้ำมันกันเสร็จผมก็วิ่งต่อไปเรื่อยๆเลยครับ หาร้านข้าวกันสักหน่อย ตอนนี้หิวมากกกกแล้ว นี่ตั้งแต่มาถึงเชียงใหม่ข้าวเช้า-ข้าวเที่ยงยังไม่มีตกถึงท้องเลย ขับเลยมาได้สัก 2-3 กิโลก็เจอร้านก๋วยเตี๋ยว ว่าแล้วก็แวะกันเลยครับ แต่ๆๆๆ เห็นภาพนี้อย่าเข้าใจผิดคิดว่าคือร้านก๋วยเตี๋ยวที่ผมจะกินนะครับ นี่มันร้านฝั่งตรงข้ามมมม มากินร้านนี้แต่ดันไปถ่ายร้านฝั่งตรงข้ามทำไมไม่เข้าใจเหมือนกัน 5555+

มาม่าต้มยำของผมมาแล้วววว สีแซ่บแบบนี้อร่อยแน่นอน มาเติมพลังให้อิ่มท้องกันเลยดีกว่าครับ!

ไอ้แดงลูกผมมันนั่งตากแดดรอผมกินก๋วยเตี๋ยวอยู่ครับ ไปกันๆๆๆ มันรอนานแล้ว ร้อนแย่เลย

ขี่ๆไปได้สักพัก ก็จอดแวะเปิด GPS ดูกันสักหน่อย เห็นป้ายอำเภอปายก็อุ่นใจครับว่ามาถูกทางแล้ว เพราะว่าไปทางเดียวกันเลย

ส่วนเส้นทางที่ผมขับมานี่ ต้องบอกเลยว่า ช่วงแรกๆทางดีครับ แต่ว่าชันมากทีเดียว โอ๊ยยย ไอ้แดงลูกผมมันทำผมตื่นเต้นเลยครับ คือตบเกียร์ 2 ก็แล้ว ยังครับยังอืดอยู่ ขึ้นแทบจะไม่ไหว ยิ่งช่วงไหนเป็นทางชันแบบยาวๆหน่อย ไอ้เเดงมันถอดใจ

ขึ้นไปๆๆ แล้วพอมันไม่ไหวมันก็ดับมันซะตรงกลางทางซะงั้น! ทิ้งผมให้ต้องใช้เกียร์เท้าสองข้างของผมยันไว้ ไม่งั้นรถไหลถอยหลังลงไปตามเขาแน่นอนนนน

ตัดสินใจเอาวะ! ตบเกียร์ 1 ค่อยๆบิดๆๆไป ถึงจะขึ้นไหว แต่การขี่เกียร์ 1 นี่ตื่นเต้นหนักมากเหมือนกันครับ คือรถมันจะกระตุกๆๆ แล้วทำท่าจะยกหน้า นี่จะขึ้นเขาชันๆ ด้วยการยกหน้าขึ้นเขาเหรอออ !?! มันจะเก่งเกินไปละ จนผมนี่คิดในใจถ้าเกียร์ 1 ไปไม่ไหว จะตบเกียร์ว่างละนะเฮ้ย! 5555+

สำหรับทางที่ว่าดีนั้น ดีตลอดจน 20 กิโลสุดท้าย หืมมมม….บันเทิงเลยครับ 5555+ ทางลูกรัง เป็นหลุมเป็นบ่อ ดินงี้แยก จากถนน 2 เลนส์ ตอนนี้มีประมาณ 8 เลนส์ จะไปทางไหนก็คงต้องถึงเวลาที่ผมจะตัดสินใจ เลือกผิดชีวิตเปลี่ยนครับ รถตกร่องแน่นอน แต่พอพ้นตรงนี้ไปได้ สวรรค์ก็รอตรงหน้าแล้วครับ คือเราก็เข้าสู่บ้านวัดจันทร์กันเลย ถึงแล้วววว

เมื่อมาถึงผมก็ได้นัดกับพี่เจ้าหน้าที่ไว้แล้วครับชื่อ พี่เช เป็นเจ้าหน้าที่ในส่วนของอบต.ของบ้านวัดจันทร์ และเป็นตัวแทนในการนำนักท่องเที่ยวมาพักยัง บ้านห้วยฮ่อม โฮมสเตย์ชาวบ้านที่ผมได้ติดต่อจองไว้ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากป่าสนวัดจันทร์นัก เดิมทีผมได้ติดต่อไปยังบ้านพักของอุทยาน นี่ขนาดโทรสอบถามล่วงหน้าตั้งเดือนกว่าๆ โอ้ววววว เต็มหมดแล้วครับหลังเล็กๆ เหลือเเต่หลังใหญ่ๆแบบมากันทั้งครอบครัว อีกอย่างที่พักของอุทยานเองก็มีไม่กี่หลัง การพักโฮมสเตย์ก็เป็นอีกทางเลือกนึงที่น่าสนใจไม่แพ้กัน

หลังจากที่ผมขี่รถจนเข้ามาสู่เขตบ้านวัดจันทร์แล้ว ก็นัดแนะกับพี่เชไว้ที่ #วัดจันทร์ ซึ่งภายในจะมีศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยวอยู่ ตามมาชมภายในกันเลยครับ…

ด้านในก็จะมีเสื้อผ้า และผ้าทอต่างๆของชาวบ้านที่สวยงาม แล้วก็มีลวดลายสวยงามมาก

เสื้อผ้าเหล่านี้ ในหลวงท่านทรงสนับสนุนให้ชาวบ้านมีอาชีพ ก่อตั้งที่นี่ขึ้นเพื่อเป็นศูนย์กลางในการจำหน่ายผ้าท้องถิ่น ซึ่งก็มีหน่วยงานต่างๆมาสั่งทำผ้า เพื่อใช้เป็นชุดหรือเสื้อผ้าใส่ในโอกาสพิเศษต่างๆกันมากมาย เรียกว่าต้องสั่งล่วงหน้ากันเลยครับ

มุมนี้จะเป็นภาพของพ่อที่เคยเสด็จมาเยี่ยมเยียนชาวบ้านที่นี่ ซึ่งท่านเคยเสด็จมาหลายต่อหลายครั้ง

ซึ่งพี่เชบอกว่า เดิมทีชาวบ้านที่นี่จะปลูกฝิ่นกันมาก่อน ในหลวงจึงเข้ามาพัฒนาอาชีพและความเป็นอยู่ให้ใหม่ #ให้ชาวบ้านเลิกการปลูกฝิ่นและหันมาทำอาชีพที่ขาวสะอาด หันมาทำนาขั้นบันได ทอผ้า และปลูกพืชผักส่งขายเข้าโครงการหลวง ซึ่งทำให้ชาวบ้านก็มีรายได้มากขึ้นๆ และชีวิตก็ดีขึ้นตามลำดับ

ฟังแบบนี้แล้วผมรู้สึกอิ่มเอมใจอย่างบอกไม่ถูกครับ…

ลายผ้าที่ปราณีตและสวยงาม ทุกชิ้นทุกส่วนทำด้วยมือล้วนๆเลยครับ

ส่วนโบสถ์นี้จะโบสถ์ไม้สักทั้งหลังนะครับ อยู่ภายในวัดจันทร์เช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นประตู-หน้าต่าง ก็มีการแกะสลักไม้อย่างสวยงาม ละเอียดละออมากๆ

ถ้าใครได้มีโอกาสมาที่วัดจันทร์ คงพลาดไม่ได้กับ วิหารใส่แว่นนี้ คือทำไมต้องใส่แว่น ? เหตุผลคือ เดิมทีด้านในนี้ทึบมากเกินไป จึงมีการทำช่องนี้ขึ้นเพื่อให้มีแสงลอดเข้าไปนั่นเอง

ณ สถานที่แห่งนี้ เป็นที่ที่พ่อหลวงของเราเคยเสด็จมาแล้วถึง 4-5 ครั้งนะครับ ในอดีตทุกครั้งที่ท่านมา ประชาชนก็จะมารอรับเสด็จกันเต็มแน่นบริเวณวัดไปหมด

เสร็จแล้วเราก็เข้าไปยังโฮมสเตย์กันเลยครับ โดยระหว่างทางเข้าเราจะต้องผ่านวัดห้วยฮ่อมกันก่อน ก็แวะเข้าไปแปปนึงครับ แต่ว่าเข้ามาแล้วเสียดายที่โบสถ์ไม่เปิด เลยได้ชมแต่บรรยากาศรอบๆแทน

โดยปกติแล้วการจะเดินทางเข้ามายังที่บ้านห้วยฮ่อมนั้นจะต้องเข้ามาพร้อมกับรถของพี่เชที่จะออกไปรับนะครับ เพราะทางที่เข้ามานั้นเป็นทางลูกรังดินแดงๆ และทุลักทุเลประมาณนึง คนไม่ชำนาญทางจะเข้ามาค่อนข้างยาก ส่วนผมก็ขี่มอเตอร์ไซค์ตามพี่เชเข้ามาครับ

ถึงแล้วครับ

โฮมเตย์ของผมที่จองไว้ ราคาตกคนละ 150 บาท พร้อมอาหารเย็น 1 มื้อ เพิ่มอีก 70 บาท เข้ามานี่ไม่ต้องถามหาแอร์ หรือพัดลมใดๆนะครับ บอกเลยว่าไม่มีทางได้ใช้ เพราะอากาศเย็นมากกกกก ผ้าห่มเท่านั้นครับที่ใจปรารถนาถึงงงง ห่มเข้าไปครับ มีเท่าไหร่ห่มให้หมด เผลอๆน้ำเนิ้มไม่ได้อาบแน่นอน 5555+

หลังจากเก็บข้าวของสัมภาระที่ขนมาไว้ที่ห้องกันเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาออกไปเดินเล่นบริเวณรอบๆแถวนี้กันดูหน่อยครับ ตามมาเดินเล่นพร้อมๆกันเลย…

ที่แรกที่เรามา คือบริเวณทุ่งนาครับ รอบๆนี้จะมีเรื่องราวที่น่าสนใจอยู่ที่จะได้เรียนรู้กันต่อไป

บริเวณนี้จะเป็นในส่วนของทุ่งนา และกระท่อมของชาวบ้าน ซึ่งในช่วงฤดูเก็บเกี่ยวก็จะมาพักกันตรงนี้ ดูแลทุ่งนาของตน

ซึ่งชาวบ้านที่อยู่แถวนี้ จะเป็นชาวปกากะญอนะครับ ทุกครั้งที่มีการปลูกข้าวก็จะมีพิธีต่างๆมากมาย ตามแล้วแต่ละขั้นตอนตั้งแต่ปลูกยันเก็บเกี่ยว ซึ่งถ้ามาช่วงกลางๆปี ทุ่งนาที่นี่ก็จะเขียวขจีสวยมากกกก หรือถ้ามาสัก เดือนต.ค. ทุ่งนาก็เป็นสีทอง ให้อารมณ์ที่ต่างกันออกไป

ส่วนกอไผ่เหล่านี้ ชาวบ้านเค้าก็ปลูกเอาไว้ใช้สอยกันนี่แหละครับ ไม่ว่าจะสร้างบ้าน ทำรั้ว ทำภาชนะ สิ่งของต่างๆ สาระพัดประโยชน์มากๆ ล้วนแล้วแต่มาจากไม้ไผ่ที่ปลูกไว้ใช้เองกันทั้งนั้น

เป็นการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ได้คุ้มค่ามากกกก จริงๆถ้าเราปลูกอะไร หรือทำอะไรไว้กินไว้ใช้เอง ผมมว่ามันคือความพอดีของการใช้ชีวิตโดยไม่ต้องไปแสวงหาอะไรไกลตัวเลย

หลังจากนั้นเราก็จะเดินลัดเลาะทุ่งนาไปยังอะไรกันต่อนะ ? ว่าแล้วก็เดินตามพี่เค้าไปครับ ซึ่งระหว่างทางเดินไป พี่เชเองก็เล่าว่า ที่นี่นั้น ล่าสุดก็โดนน้ำท่วมกันหมด ไร่นาชาวบ้านเสียหายกันมากมาย

ถามว่าอยู่บนเขาบนดอยแล้วยังน้ำท่วมอีกเหรอ ?

ใช่ครับ น้ำนี่ท่วมขึ้นมาจนยันถึงไร่นาบนเขากันเลยทำให้ผลผลิตปีนี้เสียหายไปเยอะมาก ฟังแล้วรู้สึกสงสารชาวบ้านเหมือนกันนะครับ ที่ผลผลิตปีนี้ต้องสูญเสียไป

แต่ถึงแม้ข้าวจะไม่สามารถนำไปขายได้ แต่ชาวบ้านก็ยังมีสวนปลูกพืชผักผลไม้ ที่อีกฝั่งนึงของทุ่งนา ที่ยังพอให้ผลผลิตปลูกกันในช่วงนี้หลังจากน้ำไปหมดแล้ว และส่งขายเข้าโครงการหลวงต่อไป

นี่เวลาเพิ่งจะ 5 โมงเย็นเองนะครับเนี่ย เห็นพระจันทร์อยู่ลางๆซะแล้ว ฤดูหนาวแบบนี้ กลางคืนจะมาไวมาก แปปๆก็มืดแล้ว ส่วนตอนเช้าก็นานทีเดียวกว่าฟ้าจะสว่าง

หลังจากเดินตามพี่เชลัดเลาะทุ่งนามาไกล พี่เชก็พาผมมาชิมเจ้าผลไม้ลูกเหลืองๆ หน้าตาแปลกอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อนเลย ตอนแรกพี่เชบอกว่า รู้จักลูกโทงเทงมั้ย ? ผมยิ่ง งง เข้าไปใหญ่ว่ามันคืออะไร จนได้แกะให้ผมลองชิมดู

เกิดมาเพิ่งจะเคยรู้จัก และได้ลิ้มรสเป็นครั้งแรกกับ #ลูกโทงเทง หรือ #เคพกูสเบอร์รี่ (Cape gooseberry)

นี่เด็ดให้กินกันจากต้นสดๆเลยครับ ที่นี่ปลูกแบบไร้สารเคมี สะอาดปลอดภัย กินแล้วอร่อยเพลินมากกกก

หน้าตาลูกโทงเทงจะเป็นแบบนี้นะครับ คือข้างนอกจะมีเปลือกบางๆสีส้มๆหุ้มอยู่ ลอกเปลือกออกแล้วกินลูกกลมๆที่อยู่ข้างใน

ลูกโทงเทงนี้ อาจจะหาซื้อไม่ได้ทั่วไปเหมือนผลไม้อื่นๆ แต่ก็สามารถหาซื้อได้จากร้านโครงการหลวงนะครับ ราคากิโลละร้อยกว่าบาท เป็นผลไม้เมืองหนาวที่ในหลวงท่านทรงแนะนำเพื่อพัฒนาอาชีพ ชาวบ้านที่นี่เค้าก็ปลูกส่งโครงการหลวงกันอยู่ครับ

โอ้วววว…อร่อยมากครับ รสชาติอมเปรี้ยวอมหวาน กินได้ทั้งลูกเลยไม่มีเม็ดให้ต้องคายให้รำคาญใจ เพราะข้างในลูกของมันจะมีเม็ดเล็กๆๆๆ ยุบยิบแบบกลืนลงไปได้เลย ชิมลูกแรกอาจจะท่าทางดูกล้าๆกลัวๆหน่อย แต่หลังจากลูกนี้แล้ว บอกเลยกินยาวววววว เดินกินตลอดทางจนกลับไปรถเลยครับ 55555+

เสร็จแล้วเราจะไปต่อกันที่ จุดชมวิวพระธาตุ กันเลยครับ เลยจากที่วัดจันทร์ไปไม่ไกล ว่าจะไปเก็บภาพพระอาทิตย์ตกดินกันสักหน่อย ทางขึ้นมาจะเป็นเขาลูกเล็กๆนะครับ ขึ้นมาไม่ไกลประมาณ 1 กิโลนิดๆ ก็จะมีพระธาตุตั้งอยู่ ส่วนวิวรอบๆเหรอครับ ?

แนวเขาสูงต่ำที่สลับกันเป็นแนวยาว เห็นอาณาเขตที่กว้างขวาง และมีบ้านเรือนอยู่เบื้องล่างคือทุกอย่างลงตัวไปหมด

แล้วบอกเลยครับ ควันๆขาวๆที่เห็นนั้น ตอนอยู่ในรถที่กำลังจะขึ้นมาตรงจุดชมวิว ผมนี่ตื่นเต้นมากกกก คิดออกมาเสียงดังมาก

เฮ้ยๆๆๆ!! ใช่หมอกรึป่าวนั่นนนน

นั่งก้นไม่ติดเบาะเลย ตื่นเต้นมาก นึกว่าจะได้เห็นหมอกช่วงเย็นๆที่พระอาทิตย์กำลังตกดิน แต่พอลงมาก็ถึงบางอ้อเลยครับ…ควันครับ ควัน ชาวบ้านด้านล่างคงจุดเผาขยะกัน 5555+ แต่ก็สวยงามให้บรรยากาศที่ดีมากๆ ขอบคุณที่สร้างหมอกเฉพาะกิจให้กับผมนะครับเนี่ยยยย

ด้านบนนี้ ก็จะมีคนขึ้นมาชมวิวบ้าง 3-4 คน แล้วก็จะมีพระอยู่ด้วยนะครับผมเห็นอยู่ ท่านน่าจะคอยดูแลที่นี่ แต่ไม่แน่ใจว่าปกติแล้วประจำกันอยู่ที่นี่มั้ย…เอาละครับ เริ่มค่ำแล้วววว เรากลับโฮมสเตย์ของเรากันดีกว่า

กลับมาถึงโฮมสเตย์ด้วยความหิวโหยครับบอกเลย 5555+ ส่วนพี่เจ้าของบ้านก็ทำอาหารเตรียมไว้ให้แล้ว จะเป็นกับข้าวแบบง่ายๆ แต่อร่อยทีเดียว จะมีไข่เจียว น้ำพริก-ผักต้ม กับต้มอะไรสักอย่างที่ผมไม่รู้จัก แต่รสชาติดี ปกติผมนี่เป็นคนไม่กินผักไม่กินน้ำพริก มานี่ฟาดเรียบเลยครับ น้ำพริกอร่อยกลมกล่อม เหมือนจะมีเนื้อปลาอยู่ด้วยไม่แน่ใจว่าใช่ปลาทูมั้ย รสแบบชาวบ้านๆนี่แหละผมชอบมากกว่าการไปนั่งในร้านอาหารเสียอีก กินแบบนี้มันดีต่อใจให้ความรู้สึกถึงความเป็นบ้านได้ดีมาก

เช้าวันที่สองของการเดินทาง ผมรีบตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้าตรู่ ไก่ขันสักตี 5 ครึ่งเห็นจะได้ ผมนี่เด้งขึ้นมาจากเตียงเลย เพราะจะต้องรีบไปเก็บภาพแสงอาทิตย์ยามเช้าที่ป่าสนวัดจันทร์กันครับ เช้านี้อย่าถามครับว่าอาบน้ำมั้ย ไม่อาบสิครับบบ 55555+ หนาวขนาดนี้อาบทีก็ขนหัวตั้งแน่นอน นี่ขนาดหลับยังห่มผ้าตั้ง 3-4 ผืน อากาศเย็นทะลุมุ้งมาเลย

หลังจากเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อย ก็ได้เวลาแว๊นมอเตอร์ไซค์ออกไปที่ป่าสนวัดจันทร์กันแล้ว ขี่ไปสั่นไปครับ หน๊าวววหนาวววว ทางที่นี่ยังเป็นดินลูกรังเป็นหลุมเป็นบ่ออยู่ก็ต้องระวังๆกันหน่อย แต่ระหว่างทางลงเขาที่ขี่ออกไปจากบ้านห้วยฮ่อมซึ่งอยู่บนเขาสูงพอควร ทำให้รอบๆข้างทางเต็มไปด้วยหมอกสวยงามมาก ถึงทางจะขี่ยากแต่เจอวิวแบบนี้ก็เพลินดีนะครับเนี่ย

ขี่ออกมาจากบ้านห้วยฮ่อมได้ไม่ นานระยะทางประมาณ 4 กิโลกว่าได้ ทางไม่ไกลแต่ขี่เร็วไม่ได้เลยครับ อากาศเย็นมากจริงๆ ทางข้างๆนี่ขาวโพลนไปด้วยหมอกมองอะไรแทบไม่เห็นกันเลย

ถึงแล้วครับบบ โครงการหลวงบ้านวัดจันทร์ หรือ ป่าสนวัดจันทร์ หรือที่คนที่นี่จะเรียกกันว่า อ.อ.ป.

สำหรับใครที่อยากมาป่าสนวัดจันทร์ แล้วต่อด้วยปาย ผมแนะนำให้มาทางสะเมิง แล้วแวะป่าสนวัดจันทร์ หลังจากนั้นวิ่งเข้าปาย และกลับเชียงใหม่ทางแม่มาลัยนะครับ จะได้ไม่ต้องขับรถวนเข้าวนออก ขับเดินหน้าต่อไปอย่างเดียว

ที่ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงวัดจันทร์นี้ ถูกสร้างขึ้นเนื่องจากครั้งที่พ่อหลวงได้เสด็จมาเยี่ยมเยียนราษฎร ก็ทรงเห็นถึงความทุกข์ยากลำบากของชาวเขาที่นี่ จึงจัดตั้งศูนย์พัฒนาโครงการหลวงวัดจันทร์ขึ้นเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต ส่งเสริมอาชีพต่างๆ รวมทั้งด้านการเกษตรและผลไม้เมืองหนาว ดังเช่นผลของโครงการที่เราได้ไปสัมผัสมากันแล้วที่บ้านห้วยฮ่อมเมื่อวานนี้ไม่ว่าจะเป็นนาขั้นบันไดเอย ลูกโทงเทงเอย งานผ้าทอของชาวบ้านเอย ที่นี่คือจุดศูนย์กลางการพัฒนาทั้งหมดนั่นเอง

หากคุณชอบบรรยากาศแบบปางอุ๋ง ผมบอกเลยว่าที่นี่คือสิ่งที่ให้บรรยากาศและความรู้สึกในอารมณ์ เดียวกันมากๆ หากอยากลองปลีกวิเวกจากคนเยอะๆที่ปางอุ๋ง มานอนรับไอหมอกที่นี่ดูบ้างก็ฟินไม่แพ้กัน ขนาดผมมาในช่วงวันหยุดยาว บอกเลยว่ามีคนเดินไปเดินมาไม่เกิน 20 คนได้ บรรยากาศสบายๆ เที่ยวแบบไม่เบียดเสียดใคร ชีวิตจะมีความสุขอะไรแบบนี้

พูดมากไปก็เท่านั้นครับ #สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น ค่อยๆเลื่อนดูภาพไปอย่างช้าๆ ผมเชื่อว่าคุณจะซึมซับกับทุกสิ่งทุกอย่างไปทีละเล็กทีละน้อย แล้วจะรู้สึกได้เลยว่า ‘มันน่าไปยืนอยู่ตรงนั้นมากแค่ไหน’…

เดินเล่นกันไปได้สักพัก ก็ไปหากาแฟดื่มกันสักหน่อยดีกว่าครับ ที่นี่จะมีร้านกาแฟอยู่ด้านใน เดินเลยออกมาจากตรงอ่างเก็บน้ำหน่อย ร้านจะอยู่ในโซนของที่พักอุทยานครับ

เสร็จแล้วเรามาเดินเล่นกันต่อดีกว่าครับ เดินไปดูรอบๆพร้อมๆกันเลย…

แต่ละจุดจะมีภาพของในหลวงในขณะทรงงานในตำแหน่งต่างๆของสถานที่นั้นๆ ทำให้เรารู้ว่าในวันวาน ณ ที่แห่งนี้ ณ ตรงนี้เคยเกิดเหตุการณ์ใดขึ้นครับ

หมอกที่นี่จะลอยคละคลุ้งอยู่บนพื้นน้ำ อยู่จนถึงช่วงประมาณ 9 โมงได้ครับ หลังจากนั้นก็จะค่อยๆจางลงเรื่อยๆ จนหายไปในที่สุด

จริงๆแล้วที่นี่สามารถเดินทางมาได้ด้วยรถสาธารณะที่เป็นรถสองแถวสีเหลืองๆแบบนี้นะครับ ขึ้นมาจากตัวเมืองเชียงใหม่เลยก็ได้ วิ่งมาส่งถึงด้านในเลย สะดวกดีเหมือนกันสำหรับใครที่ไม่ได้เดินทางด้วยรถส่วนตัว

โซนนี้จะเป็นบ้านพักของอุทยานนะครับ แต่จะเป็นบ้านหลังใหญ่ๆ สำหรับมาเป็นครอบครัว แต่ถ้าเป็นหลังเล็ก ต้องเดินถัดไปอีกหน่อยครับ

มาที่นี่สิ่งที่ไม่พูดไม่ได้เลยก็คือ ต้นเมเปิ้ล นี่แหละครับ เป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ที่ต้องมาเก็บภาพไป ถ้ามาถูกช่วงถูกฤดูกาล ก็จะเปลี่ยนเป็นสีส้มทั้งต้นสวยงามมากทีเดียว

กับการเดินทางตามรอยพ่อในครั้งนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มต้นจากพื้นดิน มุ่งหน้าสู่ยอดเขาสูงชัน ที่แม้แต่เราไปในวันที่มีการพัฒนาและเส้นทางดีขึ้นเเล้ว ก็ยังแอบมีบางจุดที่ไปอย่างยากลำบากและแสนไกล ลองคิดดูสิครับว่า ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อนในหลวงท่านทรงเสด็จมาในที่เหล่านี้จะยากลำบากกว่าที่เรามาสักแค่ไหน ?

การได้ทำอะไรเพื่อคนอื่นเพื่อส่วนร่วมแบบที่พ่อของเราเคยทำ ผมว่ามันชัดเจนมากและคนไทยทุกคนสัมผัสได้ เพราะท่านไม่เพียงแค่พูดให้เราฟัง แต่ท่านนั้นได้ลงมือทำให้เราได้เห็นกับตา ผมเองก็ตั้งใจว่ากลับไปก็อยากจะทำอะไรที่ดีๆดังเช่นพ่อของเรา นำความรู้ความสามารถที่มีทำอะไรดีๆเพื่อส่วนร่วมเท่าที่เราจะมีกำลัง แค่นั้นผมว่าก็สุขใจแล้ว

…ติดตามการเดินทางของ ค น ห ล ง ท า ง ได้ใหม่เร็วๆนี้…ขอบคุณครับ ^^

#LostInWatchan2016 — ที่ FIO Watchan – ป่าสนวัดจันทร์ อ.อ.ป.


  •