ทริปชิลล์ๆ ของผมในทริปนี้ ขอพาทุกคนบินตรงจากกรุงเทพฯ มุ่งหน้าสู่ “ปีนัง” เมืองที่เต็มไปด้วยความหลากหลายทางวัฒนธรรม หลายเชื้อชาติ หลายศาสนาของประเทศมาเลเซีย ที่เมืองนี้เต็มไปสถาปัตยกรรมที่สวยงาม มีคุณค่า แล้วทาง 𝐔𝐧𝐞𝐬𝐜𝐨 ก็ยกให้เป็นเมืองมรดกโลกเลยทีเดียว ด้วยความแตกต่างแต่ก็อยู่ร่วมกันอย่างลงตัว ปีนังจึงเป็นอีกหนึ่งเมืองน่าเที่ยวที่ผมอยากพาทุกคนออกเดินทางไปเปิดประสบการณ์กัน
เที่ยวสนุก แบบงบไม่บานปลาย มีที่เที่ยวหลากหลายครบรสจริงๆ ครับ ไม่ว่าจะเป็นบรรยากาศเมืองเก่าสุดคลาสสิค และ 𝐒𝐭𝐫𝐞𝐞𝐭 𝐀𝐫𝐭 สวยๆ รอบเมือง, ที่เที่ยวธรรมชาติ, คาเฟ่บรรยากาศฮิปๆ รวมทั้งใครที่เป็นสายชิม ที่นี่ก็มี 𝐒𝐭𝐫𝐞𝐞𝐭 𝐟𝐨𝐨𝐝 ร้านดังอร่อยๆ อันเป็นเสน่ห์ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้อยากมามาสัมผัสกัน มีเวลาน้อยก็เที่ยวได้ จัดเป็นทริปสั้นๆ สัก 𝟑 วัน 𝟐 คืนแบบผมเลยก็กำลังดีนะครับ
และที่สำคัญผมว่าที่นี่เป็นเมืองที่ค่อนข้างเที่ยวได้อย่างสบายใจ และมีความปลอดภัยดีทีเดียวครับ แต่ถึงอย่างไรเราก็ต้องไม่ประมาทนะครับ เดินทางไปต่างประเทศทุกครั้งผมก็ต้องซื้อประกันการเดินทางไว้เสมอ ไปต่างบ้านต่างเมืองก็ต้องเที่ยวอย่างปลอดภัย เพิ่มความอุ่นใจยิ่งกว่าเดิม ประกันภัยการเดินทางต่างประเทศเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกคนที่เดินทาง เพราะเหตุการณ์ไม่คาดฝันอาจเกิดขึ้นได้เสมอ
ผมจึงเลือกซื้อประกันภัยการเดินทางต่างประเทศ “𝐓𝐫𝐚𝐯𝐞𝐥 𝐏𝐫𝐨𝐭𝐞𝐜𝐭” จาก “ธนชาตประกันภัย” จ่ายหลักร้อย แต่สามารถคุ้มครองได้สูงสุดถึงหลักล้าน ดูแลคุ้มครองชีวิตและค่ารักษาพยาบาลหากเกิดอุบัติเหตุหรือการเจ็บป่วย และคุ้มครองทรัพย์สินของเราด้วย เที่ยวจัดเต็มได้ทุกทริปทั่วเอเชีย ด้วยแพ็คเกจ 𝐀𝐬𝐢𝐚 𝐋𝐨𝐯𝐞𝐫 เริ่มต้นแค่คนละ 𝟐𝟎𝟗 บาทเท่านั้น แล้วยังมีบริการติดต่อในยามฉุกเฉินได้ 𝟐𝟒 ชั่วโมงเลยล่ะครับบบ
📌 ซื้อประกันง่ายๆ ด้วยตัวเอง สะดวกทุกที่ทุกเวลา เพียงทำรายการผ่าน 𝐖𝐞𝐛𝐬𝐢𝐭𝐞 ได้เลย >> www.thanachartinsurance.co.th
📣 ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่…
𝐓𝐞𝐥. 𝟎𝟐-𝟔𝟔𝟔-𝟖𝟖𝟗𝟗
📣 บริการช่วยเหลือขณะเดินทาง (ตลอด 𝟐𝟒 ชั่วโมง)
𝐓𝐞𝐥. +𝟔𝟔𝟐-𝟐𝟎𝟔-𝟓𝟒𝟑𝟓
🚖 การเดินทางในปีนัง
ไปไหนมาไหนด้วยการเรียก 𝐆𝐫𝐚𝐛 เลยครับ ทั้งง่าย และสะดวกที่สุด และที่สำคัญค่ารถที่นี่ถูกมากกกครับ คือจะคิดตามระยะทาง ถึงจะไม่มีการกดมิเตอร์ แต่ตอนกดเรียกรถ ขึ้นแจ้งราคาเท่าไหร่ ก็จ่ายเท่านั้นเลยครับ ไม่มีชาร์จเพิ่มใดๆ รถติดก็ไม่มีบวกเพิ่มด้วยนะ ผมเรียกรถไปสถานที่ต่างๆ ในระยะ 𝟐 กิโลเมตร ก็จ่ายอยู่ที่ประมาณ 𝟓-𝟕 𝐑𝐌 เท่านั้นครับ (เรทช่วงที่ผมไป 𝟏 𝐑𝐌 = 𝟕.𝟖 บาท)
ถ้าเที่ยวอยู่ใน 𝐆𝐞𝐨𝐫𝐠𝐞 𝐓𝐨𝐰𝐧 เป็นหลัก ก็สามารถเดินลัดเลาะไปตามซอยเรื่อยๆ ได้นะครับ จุดเที่ยวต่างๆ จะอยู่ใกล้กัน
สภาพอากาศในปีนังมีแค่ร้อนกับฝนครับ อากาศตอนกลางวันค่อนข้างร้อน มีฝนบ้างในบางวัน เที่ยวชิลล์ๆ แบบไม่ต้องปรับตัวเยอะ สภาพอากาศใกล้เคียงบ้านเรามากครับ
ก่อนเดินทาง ก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อม นอกจากสัมภาระต่างๆ แล้ว ประกันการเดินทางก็เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องมีเช่นกันครับ ผมเองก็ได้ซื้อประกันภัยการเดินทางต่างประเทศ “Travel Protect” จาก “ธนชาตประกันภัย” ไว้ เพราะเราไม่รู้เลยว่า เหตุการณ์ไม่คาดฝัน หรือสถานการณ์ฉุกเฉินจะเกิดขึ้นกับเราเมื่อไหร่ ดีที่สุดคือซื้อประกันไว้นะครับ จะได้เดินทางกันแบบอุ่นใจ ไร้กังวล
และทริปมาเลเซียทริปนี้ผมก็เลือกซื้อแบบแพ็คเกจ Asia Lover ครับ จ่ายแค่หลักร้อย แต่คุ้มครองได้สูงสุดถึงหลักล้าน เริ่มต้นแค่คนละ 209 บาทเท่านั้นเอง และสามารถเลือกซื้อ Top up เพื่อคุ้มครองเพิ่มเติมในกรณีที่สายการบินมีการยกเลิก หรือเกิดความล่าช้าในการเดินทาง หรือทรัพย์สินก็คุ้มครองด้วยเช่นกันนะครับ
ประกันภัยการเดินทางต่างประเทศ “Travel Protect” จาก “ธนชาตประกันภัย” ซื้อง่ายๆ ด้วยตัวเอง เพียงทำรายการผ่าน Website ได้เลย >> www.thanachartinsurance.co.th
แนะนำว่าควรซื้อตั้งแต่ก่อนเดินทางให้เรียบร้อยนะครับ จะได้คุ้มครองตั้งแต่วันแรกที่เราต้องขึ้นเครื่องเลย ซึ่งแพ็คเกจแบบ Asia Lover ก็จะคุ้มครองชีวิตและค่ารักษาพยาบาล / คุ้มครองด้านสายการบิน / คุ้มครองทรัพย์สินส่วนตัว ครอบคลุมทุกเรื่องการเดินทางเลยล่ะครับ
สำหรับขั้นตอนการจองก็ง่ายมากๆ เลือกแพ็คเกจที่เราสนใจได้เลยครับ ซึ่งจะมีทั้งหมด 3 แพ็คเกจนะครับ
แพ็คเกจ Lite : เริ่มต้นที่ คนละ 209 บาท
แพ็คเกจ Smart : เริ่มต้นที่ คนละ 273 บาท
แพ็คเกจ Gold : เริ่มต้นที่ คนละ 458 บาท
อย่างของผมเอง เดินทางประมาณ 3-4 วัน ก็เลือกแพ็คเกจ Smart คนละ 273 บาท หลังจากที่เลือกแพ็คเกจแล้ว ก็กรอกข้อมูลวันเดินทาง และข้อมูลส่วนตัวของเราให้เรียบร้อยครับ เสร็จแล้วก็กดยืนยัน และทำการชำระเงินผ่านแอพธนาคารได้เลย สะดวกสุดๆ
ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีก็ซื้อประกันเรียบร้อยแล้ววว ง่ายมากเลยใช่มั้ยครับ หลังจากนั้นก็จะมีกรมธรรม์ส่งเข้า Email ของเรา ก็เป็นอันเสร็จครับ แล้วเราก็ลงทะเบียนทาง Line กันเอาไว้ด้วยนะครับ เพื่อความสะดวกในการติดต่อเจ้าหน้าที่ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งหากเกิดเหตุใดๆ ก็แจ้งผ่าน Line ได้เช่นกันครับ
Kim Haus Loft
พิกัด >> https://maps.app.goo.gl/M1d4aGGPfny7UkEh7
——
หลังจากที่เดินทางมาถึงตัวเมืองปีนังกันแล้ว ก่อนอื่นผมก็ขอไปเช็คอินที่พักที่จองเอาไว้ก่อนเลยครับ ไปเก็บสัมภาระเข้าห้องกันให้เรียบร้อยแล้วค่อยออกไปตะลอนเที่ยวกันให้ทั่วปีนัง
ซึ่งที่พักของผมในทริปนี้ก็คือ “Kim Haus Loft” จะอยู่ใจกลาง George Town เลยครับ โลเคชั่นคือดีมากๆ สะดวกต่อการเดินทางไปยังจุด Landmark ต่างๆ และเดินเที่ยวรอบๆ ได้เลย ซึ่งย่านที่ผมพักนี้จะเป็นย่าน Chinatown นะครับ แหม… หน้าเป็นอาตี๋ ตาชั้นเดียวขนาดนี้ มาพักแถวนี้ถือว่ากลมกลืนสุดๆ 55555+
ที่ Kim Haus Loft นี้จะเป็นที่พักสไตล์ Hostel นะครับ ซึ่งก็จะมีทั้งห้องพักแบบเตียงรวม ใช้ห้องน้ำส่วนกลาง สำหรับชาว Backpack ในราคาหลักร้อย และก็มีทั้งแบบห้องส่วนตัว ที่มีห้องน้ำในตัว ในราคาหลักพันต้นๆ ซึ่งผมก็เลือกจองแบบห้องส่วนตัวมาครับ คิดเป็นเงินไทยประมาณ 1200-1300 บาท ซึ่งจะอยู่ชั้นบนสุดของที่พักเลย วิวดีไปอีกนะครับ มองเห็นเมืองปีนังจากมุมสูงได้เลย
บรรยากาศของที่พัก บอกเลยว่าผมชอบมากๆ ครับ ถ่ายรูปออกมาดูดีทุกมุม ตกแต่งในสไตล์ Loft ดิบๆ คุมโทนสีไปหมด Mood & Tone เท่ไม่ไหว ส่วนด้านล่างสุดที่ชั้น 1 ก็ทำเป็นคาเฟ่ และร้านอาหาร คงคอนเซ็ปต์ความเป็น Loft เท่ๆ ไว้เช่นเคย
ที่พักนี้โดยรวมแล้วถือว่าแนะนำเลยครับ ห้องพักดี โลเคชั่นอยู่ใจกลางเมือง เที่ยวง่าย เดินทางก็สะดวก ราคาไม่แรง แต่ต้องบอกก่อนนะครับว่าที่นี่จะไม่มีลิฟท์ เพราะได้นำตึกเก่ามารีโนเวทใหม่ ซึ่งโครงสร้างตึกก็คงไว้แบบเดิมๆ เลยครับ ไม่ได้เป็นตึกสร้างใหม่ ถ้าใครที่ชอบความคลาสสิคของตึกเก่า การเดินขึ้นบันไดก็ถือว่าไม่เป็นปัญหา ส่วนสัมภาระต่างๆ ก็แจ้งกับทาง Reception ได้เลยครับ มีบริการเอาขึ้นไปให้ถึงห้องเลยล่ะ
อย่างที่บอกครับว่าที่พักของผมอยู่ในย่าน Chinatown รอบๆ ก็จะมีตึกเก่าในสไตล์จีนอยู่หลายตึก แต่ก็แอบมีบางตึกเป็นสไตล์ยุโรปปะปนกันมาบ้าง เอาเป็นว่าแค่ย่านนี้ก็เดินถ่ายรูปกันเพลินแล้วครับ มีแต่สถาปัตยกรรมสวยๆ เต็มไปหมด
ด้วยความที่ปีนังนั้น เป็นเมืองที่ผสมผสานหลายเชื้อชาติ หลายวัฒนธรรมเข้าด้วยกัน กลายเป็นเมืองที่มีเสน่ห์ และเต็มไปด้วยความคลาสสิคในแต่ละมุมเมือง
สิ่งที่ผมชอบมากๆ ในปีนัง และถือเป็นความโดดเด่นเลยก็คือ สถาปัตยกรรมที่ยังคงไว้เดิมๆ ทั้งหมดครับ ผมว่าเกือบจะทั้งเมืองเลยนะ ที่เป็นตึกเก่าแล้วคงโครงสร้างเดิมไว้ แทบจะไม่มีตึกสร้างใหม่ให้เห็นเท่าไหร่นัก ใครที่ชอบบรรยากาศความเป็น Old Town ที่มีเสน่ห์ จนถูกยกให้เป็นเมืองมรดกโลกจะต้องหลงรักปีนังอย่างแน่นอน
เรามาเดินเล่นชมบรรยากาศรอบๆ ที่พักในยามค่ำคืนกันครับ…
มีร้านกาแฟที่เปิดขายท้ายรถ แล้วจอดขายที่ริมทางแบบนี้ด้วยล่ะ ร้านเท่มากๆ
George Town
พิกัด >> https://maps.app.goo.gl/4ov3nsid74c9pm639
——
มาปีนังทั้งที สิ่งที่พลาดไม่ได้เลยก็คือการไปเที่ยวชมตึกสวยๆ รอบเมือง George Town นี่แหละครับ ซึ่งเรียกว่ามีทุกตรอกซอกซอย เราสามารถเดินลัดเลาะไปเรื่อยๆ แล้วถ่ายรูปกันได้เพลิน อย่างตึกสีขาวๆ ที่จุดนี้ จะเป็นอาคารสำนักงานนะครับ ซึ่งอยู่ตรงหัวมุมทางเเยกพอดี หากมาถึงปีนังแล้วต้องห้ามพลาด เป็น Landmark สำคัญเลยล่ะครับบบ
ส่วนจุดนี้จะเป็นสถานีดับเพลิงนะครับ ตึกสวยมากๆ มีความคลาสสิคดูลงตัว จะอยู่ตรงกลางสี่แยกเลย เดินมาคือเห็นเป็นตึกสีแดงโดดเด่นมาก ที่ตรงด้านข้างก็มี Street Art ที่เล่าเรื่องราวของเจ้าหน้าที่ดับเพลิงให้เราได้ชมกันด้วย ถือว่าเป็นไอเดียที่ดีเลยนะครับ ทำให้กลายเป็นสถานที่ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาแวะถ่ายรูปกัน เป็นอีกจุดแวะเที่ยวสำคัญที่มาแล้วได้รูปสวยแน่นอน
ในกรณีที่ทรัพย์สินส่วนตัว ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋าเดินทาง, เงินสด รวมทั้งเอกสารเดินทางต่างๆ หากสูญหาย หรือเสียหาย ประกันภัยการเดินทางต่างประเทศ “Travel Protect” จาก “ธนชาตประกันภัย” ก็คุ้มครองด้วยนะครับ
ถ้าใครอยากได้บรรยากาศเหมือนมายุโรปก็ต้องมาโซนนี้เลยครับ แถวๆ ตึก Maison de Poupee จะเป็นโทนสีขาวคลีนๆ ถ่ายรูปออกมาสวยมาก
อีกฝั่งของตึก Maison de Poupee ก็จะมีหอนาฬิกา ถ่ายออกมาได้ฟีลยุโรปสุดๆ
Street Art
พิกัด >> รอบเมือง George Town
——
ไฮไลท์ของการมาเยือนปีนังที่ทุกคนต้องไม่พลาดเลยก็คือการมาเดินตามล่าหา Street Art ที่ซ่อนอยู่ตามทุกมุมเมืองนี่แหละครับ ซึ่งผมบอกเลยว่าเยอะมากๆ ครับ แต่ละภาพก็สื่อความหมาย และวิถีชีวิตของชาวปีนัง เดินถ่ายรูปกันเพลินไปเลย ซึ่งเป็นเหมือนกิจกรรมให้นักท่องเที่ยวได้ Challenge ตัวเองนะครับว่าจะหากันจนครบมั้ย หรือใครอยากจะเดินถ่ายเฉพาะจุดที่เป็นภาพดังๆ ก็ใช้บริการคุณลุงสามล้อได้นะครับ มีพานั่งรถไปชม Street Art รอบเมืองก็สะดวกดีครับ
Armenian Street
พิกัด >> https://maps.app.goo.gl/y5XX8qZv4EEykWL9A
——
อีกหนึ่งย่านของถนนสายวัฒนธรรม เต็มไปด้วยบรรยากาศร้านค้า และความย้อนยุคอันมีเสน่ห์ ที่นี่จะเป็นตรอกที่สามารถเดินเที่ยวได้เพลินเลยทีเดียวครับ มีร้านอาหาร คาเฟ่ ร้านขายของฝาก งาน Handmade ต่างๆ แล้วยังมี Street Art ที่ซ่อนอยู่ตามมุมตึกให้เราได้เดินตามล่าหาพิกัดถ่ายรูปกันสนุกๆ ด้วย
จะนั่งรถสามล้อชมวิวรอบเมืองก็ได้นะครับ
ร้านไอศกรีมที่อยู่ใน Armenian Street เป็นไอศกรีมแบบ Homemade เดินผ่านก็สะดุดตาตั้งแต่หน้าร้านแล้ว ก็ต้องแวะเข้าไปสั่งกินกันสักหน่อยครับ
ตรงข้ามกับร้านไอศกรีม ก็จะมีร้าน Woody Cafe มาในโทนสีเขียวพาสเทลดูสบายตา เห็นแล้วก็ต้องขอแวะเข้าไปจัดน้ำเย็นๆ ชื่นใจสักแก้ว ด้านในร้านก็ตกแต่งไว้น่ารักทีเดียวครับ เรียบๆ แต่ดูดี เดินมาด้านหลังร้านแอบมีมุมจัดสวนในร่มไว้ด้วย บรรยากาศดีมากครับ
ตรงนี้จะเป็นศาลเจ้าที่อยู่ตรงทางเข้า Armenian Street เลยครับ
Chulia Street
พิกัด >> https://maps.app.goo.gl/9hZP6fX8JuSCtC5HA
——
ในยามค่ำคืน ที่นี่ก็เป็นเมืองที่คึกคัก และเต็มไปด้วยสีสันของวิถีชีวิตผู้คน สำหรับใครที่เป็นสายกิน อยากมาลองเมนู Street food แนะนำว่าต้องไม่พลาดเลยครับ
ที่ Chulia Street จะมีร้านค้า ร้านอาหารข้างทางอยู่หลายร้าน บรรยากาศก็นั่งทานกันง่ายๆ แบบที่บ้านเราเลยครับ เมนูต่างๆ ก็ราคาไม่แพง รสชาติอาจจะไม่ได้จัดจ้านเหมือนอาหารไทย แต่ก็อร่อยถูกปากครับ อย่างจานนี้จะคล้ายๆ เส้นใหญ่ผัดซีอิ๊วของไทย ผัดด้วยเตาถ่าน กลิ่นหอมมากกก เส้นนุ่ม รสชาติดี กินได้แบบไม่ต้องปรุงเพิ่มเลย
บางเมนูมีความคล้าย Street food ของไทยอยู่เหมือนกัน เช่น หอยทอด, ก๋วยเตี๋ยวผัดแบบแห้งๆ ก็มีนะครับ ซึ่งที่นี่จะอยู่ใกล้กับที่พัก Kim Haus Loft เลยครับ เดินมาไม่เกิน 10 นาที ช่วงค่ำถนนนี้จะคึกคักมาก นักท่องเที่ยวมากันเยอะเลย
ร้านนี้เดินเข้าจากปากซอยก็สะดุดตาเลยครับ จะขายเป็นพวกเมนูเสียบไม้ทั้งร้าน เวลาซื้อก็เลือกตามใจชอบเลยครับ เสร็จแล้วเราก็เอาไปลวกในหม้อให้สุก ตักราดน้ำจิ้มแล้วยืนกินที่หน้าร้านได้เลย
Kimberley Street
พิกัด >> https://maps.app.goo.gl/2aFKdCh47oh7vy4a8
——
เอาใจสาย Street food กันอีกสักที่ครับ ที่ Kimberley Street แห่งนี้ ก็มีร้านค้า ร้านอาหารเยอะเช่นกัน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่พักอีกเช่นเคยครับ แต่จะต้องเดินไปคนละทางกับ Chulia Street นะครับ ใช้เวลาประมาณ 10 นาทีก็ถึงแล้วล่ะ เป็นถนนอีกเส้นที่ขึ้นชื่อเรื่อง Street food มีนักท่องเที่ยวแวะเวียนมากันเยอะเลย
ผมก็ลองสั่งมา 3 เมนูครับ เมนูแรกจะคล้ายๆ ผัดหมี่ฮกเกี้ยน แต่เครื่องที่ใส่และรสชาติจะต่างจากที่ไทย ใส่ผัก ใส่แผ่นแป้ง และปลาหมึก ส่วนเมนูที่ 2 จะเป็นบะกุ๊ดเต๋ซี่โครงหมู กินร้อนๆ ซดคล่องคอดีครับ และเมนูสุดท้ายเส้นหมี่ผัดแบบห่อใส่กระดาษ ห่อละแค่ 2 RM เท่านั้นเองครับ (15 บาท) ซึ่งก็ไม่ได้มีใส่เนื้อสัตว์อะไรนะครับ ผัดแบบง่ายๆ แต่อร่อยดี
Penang Hill
พิกัด >> https://maps.app.goo.gl/vDAZ5EyhMzmCakWN9
——
เช้าวันที่ 2 ผมก็ตั้งใจจะขึ้นดูพระอาทิตย์ขึ้นกันที่ Penang Hill แต่เช้าเลยครับ ผมออกจากที่พักไปช่วงประมาณตี 5.30 ครับ เรียก Grab ไปลง Penang Hill ซึ่งห่างจากที่พักไป 8 กิโลเมตร ซึ่งจะออกไปทางชานเมืองหน่อย ค่ารถ = 9 RM ตีเป็นเงินไทยแค่ 68 บาท ถูกมากๆ ครับ ใช้เวลาเดินทางแค่ 20 นาที รถไม่ติดเลยยย อยู่ที่นี่คือเรียกรถแบบไม่ต้องกังวลเรื่องค่าเดินทางเลยครับ เที่ยวสบายใจสุดๆ
เดินทางมาถึงท้องฟ้ายังมืดอยู่ แต่ Penang Hill เปิดให้เข้าซื้อตั๋วตอน 06.15 A.M. ก็นั่งรอกันสักครู่ครับ ค่าตั๋วคนละ 30 RM ซึ่งตั๋วแบบธรรมดา แต่ถ้า Fast lane ก็จะแพงขึ้นอีกเท่าหนึ่ง แต่ด้วยความที่ผมมาแต่เช้า คนยังน้อย ก็ซื้อแบบธรรมดาครับ ได้ขึ้นรถรางเที่ยวแรกๆ เลย
ขึ้นมาถึงด้านบนได้ทันรอดูบรรยากาศช่วงที่พระอาทิตย์ขึ้นพอดี อากาศดี เย็นสบาย วิวปีนังมุมสูงสวยมากกกก มีทะเลล้อมรอบ และด้วยความที่เมื่อคืนปีนังฝนตกอากาศชื้น เช้าวันนี้ก็หมอกมาเต็มเลย ยิ่งวิวดีเข้าไปอีก เดินชมธรรมชาติกันไป รับความสดชื่นในยามเช้า
มุมไฮไลท์ของ Penang Hill ที่พลาดไม่ได้เลย
วิวปีนังมุมสูงในยามเช้า บอกเลยว่าสวยมากๆ ครับ มีหมอกลอยไปมาเหนือท้องทะเล อลังการสุดๆ
เดินถัดไปไม่ไกลนัก ก็จะเจอกับวัดฮินดูสวยมากๆ ครับ เป็นวัดเล็กๆ ที่อยู่บนยอดเขา Penang Hill
Kek Lok Si Temple
พิกัด >> https://maps.app.goo.gl/jru8wbxFjC1p3jyv7
——
เสร็จจากการเดินเที่ยวที่ Penang Hill แล้ว เราก็ไปต่อกันที่ Kek Lok Si Temple กันเลยครับอยู่ไม่ไกลกันมาก นั่งรถมาประมาณ 2 กิโลเมตร ที่นี่จะเป็นวัดจีนที่สวยมาก อลังการสุดๆ ครับ เป็นวัดใหญ่ที่ตั้งอยู่บนยอดเขาเลย มีพื้นที่กว้างขวาง ถ่ายรูปสวยไปทุกมุมเลยครับ
ตรงทางเข้าจะมีบ่อเลี้ยงเต่าบ่อใหญ่ คนไทยเลยนิยมเรียกกันสั้นๆ ว่า “วัดเต่า”
มาถึงแล้วก็แวะเข้าไปไหว้เทพเจ้าขอพรกันหน่อยครับ เดินเที่ยวได้รอบไปตามจุดต่างๆ ลัดเลาะตามแนวเขาไป จนถึงด้านบนสุดจะมีเจดีย์ขนาดใหญ่ โดดเด่นมากครับ
Toh Soon Cafe
พิกัด >> https://maps.app.goo.gl/rg7WT5hVYBXPs5U89
——
เป็นร้านข้างทาง ที่อยู่ในตรอกแคบๆ นั่งกินกับโต๊ะเล็กๆ ดูธรรมด๊าาา ธรรมดา แต่แอบมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก เห็นแล้วเหมือนมีอะไรกวักมือเรียกให้เราไปยืนต่อคิวกับชาวบ้านเค้านะครับ 55555+ บรรยากาศร้านนี้คือได้มากกกก ให้ฟีลแบบ… นี่แหละ มาแล้วมันต้องได้มานั่งกินร้านสไตล์ Local ในซอยแบบนี้ ถึงจะรู้สึกเข้าถึงความเป็นปีนัง
ที่นี่จะเป็นร้านที่ขายเมนูอาหารเช้านะครับ เป็นกาแฟโบราณ กินคู่กับไข่ลวก, ขนมปังปิ้ง แนวนี้ครับ กินง่ายๆ อร่อยเบาๆ
ส่วนอีกเมนูหนึ่งซึ่งผมเองก็ไม่รู้เรียกชื่อว่าอะไรนะครับ เห็นทางร้านทำเป็นห่อเล็กๆ ตั้งเอาไว้บนโต๊ะ พอเเกะออกมาดู ก็เป็นเหมือนข้าวคลุกน้ำพริก มีไข่ต้ม กับปลาทอดตัวเล็กๆ ก็คิดว่าลองดูสักคำสิ รสชาติเป็นยังไง?… เท่านั้นแหละครับ สุดท้ายแล้วผมจัดไป 5 ห่อ หิ้วกลับห้องพักด้วยอีก อร่อยเด้อออ เมนูอะไรเนี่ยยยย 555555+
Little India
พิกัด >> https://maps.app.goo.gl/BoUwv9Ro3Q8giVsR9
——
ต่อไปเราไปเดินเล่นที่ย่าน Little India กันครับ ที่นี่จะเต็มไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร และวิถีชีวิตของคนอินเดียในปีนัง เรียกว่าคึกคักดีทีเดียว มีผู้คนมาจับจ่ายใช้สอยกัน ลองเดินลัดเลาะไปตามซอยต่างๆ ถ่ายรูปออกมาบรรยากาศดูเหมือนอยู่อินเดียเลยจริงๆ ผมว่าที่ปีนังมีชาวอินเดียมาอาศัยอยู่ค่อนข้างเยอะเลยนะครับ
เดินถัดไปอีกหน่อย ก็จะเจอกันวัดฮินดูที่อยู่ในย่าน Little India เดินผ่านก็ต้องแวะทันทีทันใดเลยครับ วัดสวยมากๆ
The Sugar Tang
พิกัด >> https://maps.app.goo.gl/FpsEVGCfGKSZi1Wo8
——
คาเฟ่สไตล์ Minimal ที่น่าจะถูกใจใครหลายๆ คน ซึ่งคาเฟ่ที่นี่ส่วนใหญ่ก็จะอยู่ในตึกห้องแถวนะครับ และด้วยความที่เป็นเมืองเก่า และมีสถาปัตยกรรมสวยๆ อันเป็นเอกลักษณ์ของเมืองอยู่แล้ว คาเฟ่ที่ปีนังก็จะเป็นการรีโนเวทภายในใหม่ทั้งหมด แต่คงโครงสร้างตึกแบบเดิมเอาไว้ ดูมีเสน่ห์มากๆ
และถึงแม้ว่าด้วยความที่เป็นคาเฟ่ในตึกแถว แต่ก็จัดสรรพื้นที่ออกมาได้เป็นอย่างดี ด้านในดูกว้างขวาง ไม่อึดอัด มีมุมสวยๆ ให้เลือกนั่งกันได้ บรรยากาศดี ถ่ายรูปออกมาสวยคุมโทน ดูคลีนสบายตา
การสั่งอาหารก็สะดวกมากครับ หลายๆ ร้านในปีนัง ไม่ว่าจะเป็นคาเฟ่หรือร้านอาหาร ก็จะให้เราแสกน QR Code แล้วกดสั่งได้ด้วยตัวเองเลย
Bricklin Cafe Bar
พิกัด >> https://maps.app.goo.gl/MRgASrU1mQmLXRU2A
——
เปลี่ยนบรรยากาศมานั่งจิบกาแฟในร้านแนวเท่ๆ กันบ้างครับ ที่ร้าน Bricklin Cafe Bar นี้ จะตกแต่งในสไตล์ Loft ดิบๆ กำแพงร้านจะเน้่นเป็นอิฐแดงตามชื่อร้าน ส่วนการตกแต่งและส่วนอื่นๆ ของร้านก็จะคุมโทนสีดำ-เทาดูเข้ากันได้ดีกับสีของกำแพงอิฐแดง ด้านหน้าตัวร้านจะเป็นห้องกระจกใส มองเห็นวิวด้านนอกที่เห็นรถสัญจรไปมา
คาเฟ่ที่ปีนังเกือบจะทุกร้านเลยครับ พวกเมนูเครื่องดื่มต่างๆ ราคาจะสูงกว่าที่ไทยสักหน่อย เริ่มต้นที่แก้วละประมาณ 90-100 บาท แต่ถ้าเป็นพวกเมนูอาหาร ราคาจะพอๆ กับที่ไทยเลย
The Postcard Shop
พิกัด >> https://maps.app.goo.gl/6jhgRDcpEagZ2Vj4A
——
เห็นชื่อร้านแล้ว ตอนแรกก็แอบเอ๊ะนิดนึง ว่าเป็นร้านขายโปสการ์ดหรือเปล่า แต่ที่นี่เป็นทั้งร้านโปสการ์ดแล้วก็เป็นคาเฟ่ด้วยล่ะ
บอกตรงๆ ว่าชอบบรรยากาศร้านมากอีกแล้วววว ผมชอบร้านที่ดูมีความเยอะแบบไม่ตั้งใจ แต่จริงๆ แล้วของทุกชิ้นที่ตกแต่งไว้ตรงนั้นที ตรงนี้ที ในแต่ละมุมมันคือความตั้งใจ และพิถีพิถันในการจัดวางมาเป็นอย่างดี ทุกสิ่งทุกอย่างจึงดูลงตัวไปหมด หน้าร้านก็มีต้นไม้ตกแต่งดูสบายตา ที่นั่งก็จะมีทั้งด้านใน และด้านนอกที่ตั้งอยู่ริมถนน บอกเลยว่าชิลล์ดีเหมือนกันนะครับ
แอบบอกอีกนิดว่าตรงข้างๆ กำแพงร้านมี Street Art ให้มาถ่ายรูปกันด้วยนะ
Langit Senja Kopi
พิกัด >> https://maps.app.goo.gl/iPK635r8fhsyzDmd7
——
คาเฟ่เล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ในห้องแถวตึกเก่า ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับย่าน Armenian Street เลยครับ ที่ร้านนี้ตกแต่งออกมาได้ Cozy ดูอบอุ่น แต่ละมุมก็ดูลงตัวไปหมด ถึงแม้จะเป็นคาเฟ่ที่มีพื้นที่ไม่มากนัก แต่ก็มีมุมให้ถ่ายรูปกันหลายมุม
ต้องบอกเลยครับว่าที่ปีนังนั้นมีคาเฟ่สวยๆ อยู่เยอะมากกก แทบจะทุกตรอกซอกซอยเลยทีเดียว และที่นี่ก็เป็นอีกร้านหนึ่งที่ผมอยากแนะนำมากครับ
เอาเป็นว่าใครที่ชอบสไตล์ Home Cafe ต้องห้ามพลาดเลยครับ ร้านนี้ Mood ดีมากกกก หลงรักบรรยากาศสุดๆ
Roti Breakfast
พิกัด >> ตรงหัวมุมสี่แยก Campbell
https://maps.app.goo.gl/tSciqKKY74WoRPRx9
——
ร้านอาหารเช้าที่อยู่ใกล้ๆ กับที่พักของผมเลยครับ ที่นี่จะเป็นร้านรถเข็นเล็กๆ ขายโรตีกินกับน้ำแกง และมีชา กาแฟโบราณไว้กินคู่กัน โรตีที่นี่ก็มีทั้งแบบใส่ไข่ และแบบใส่กล้วยนะครับ กินกับน้ำแกงแล้วเข้ากัน หอมเครื่องเทศกำลังดี บรรยากาศก็นั่งทานกันสบายๆ อยู่ตรงสี่แยกพอดีเลย ซึ่งใกล้ๆ กันก็จะมีพ่อค้าแม่ค้ามาขายของริมถนนเป็นตลาดเช้าด้วยล่ะครับ…
เป็นยังไงกันบ้างครับกับทริปปีนังของผมในวันนี้ บอกเลยว่าทุกคนก็เที่ยวตามได้ง่ายๆ เลยนะครับ งบเที่ยวไม่มีบานปลาย เที่ยวแบบผมรวมทุกอย่างทั้งค่ากิน ค่ารถ ค่าที่พัก ค่าเดินทางต่างๆ ในปีนัง ก็ตกคนละ 4,000 กว่าบาทเท่านั้นเอง มาเยือนเมืองเดียวแต่เปิดประสบการณ์ความหลากหลายทางวัฒนธรรมแบบครบรส แล้วยังเดินทางไม่ไกล จัดทริปสั้นๆ มากันได้แบบชิลล์ๆ เลย
และที่สำคัญเลย ทุกครั้งก่อนเดินทางก็ต้องซื้อประกันภัยการเดินทางต่างประเทศ “Travel Protect” จาก “ธนชาตประกันภัย” เพื่อความอุ่นใจในทุกทริปกันด้วยนะครับ เริ่มต้นแค่คนละ 209 บาท ก็คุ้มครองชีวิตและค่ารักษาพยาบาล, คุ้มครองด้านสายการบิน และคุ้มครองทรัพย์สินส่วนตัวของเราแบบครอบคลุมเลย
ซื้อประกันง่ายๆ ด้วยตัวเอง สะดวกทุกที่ทุกเวลา เพียงทำรายการผ่าน Website ได้เลย >> www.thanachartinsurance.co.th
ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่…
Tel. 02-666-8899
บริการช่วยเหลือขณะเดินทาง (ตลอด 24 ชั่วโมง)
Tel. +662-206-5435
#ธนชาตประกันภัยTravelProtect#ประกันภัยการเดินทางต่างประเทศ#คนหลงทาง#เที่ยวปีนัง#มาเลเซีย